วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พี่เลี้ยง : Preceptor

องค์กรพยาบาล  โรงพยาบาลมหาชัย 2  เห็นความสำคัญของพัฒนาความสามารถ
ทางการพยาบาล(Nursing Competency) จึงริเริ่ม "โครงการเสริมความรู้และทักษะ
แก่พยาบาลพี่เลี้ยง"  เพื่อเพิ่มความสามารถและศิลปของพยาบาลประจำการในการ
เป็นพี่เลี้ยงแก่พยาบาลจบใหม่หรือพยาบาลที่เข้ามาปฏิบัติงานใหม่   ในโรงพยาบาล
มหาชัย 2 ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีศักยภาพสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
ในงานได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพยาบาลพี่เลี้ยงจึงมีบทบาทสำคัญในการใช้ศิลปพัฒนา
พยาบาลจบใหม่และพยาบาลใหม่ของโรงพยาบาลมหาชัย 2 ให้เป็นพยาบาลวิชาชีพ
ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน    อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดโอกาสของการเกิด Incident 
อีกด้วยบทบาทพยาบาลพี่เลี้ยงดังกล่าว ได้แก่ บทบาทความเป็นครู ผู้แนะนำ/ผู้ให้คำปรึกษา 
ผู้เป็นแบบอย่าง ผู้อุปถัมภ์ นักปฏิบัติการพยาบาล ผู้นิเทศทางคลินิก   พยาบาลพี่เลี้ยงจะ
ประสบความสำเร็จอย่างดีหากได้รับการสนับสนุนจากองค์กรพยาบาล   หัวหน้าหอผู้ป่วย  

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทความเรื่อง มรณานุสติ




มรณานุสติ

(Consciousness of Recalling the Death)...ตอนที่ ๑ 
                      วิทยาการที่ก้าวหน้า   อายุขัยเฉลี่ยที่สูงขึ้น  ความสะดวกสบายความสุขทางโลก  ปัจจัยเหล่านี้  ทำให้คนห่างไกลธรรมชาติออกไปเรื่อย ๆ และยิ่งมิต้องกล่าวถึงมรณานุสติเลยเนื่องจากปกติคนเราก็ไม่คิดถึงเรื่องความตายอยู่แล้วถึงขั้นมีการห้ามปรามมิให้พูดหรือกระทำการใด ๆ ที่มีลางหรือสื่อไปถึงความตายด้วยซ้ำ         จึงยิ่งทำให้คนห่างไกลมรณานุสติกันมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งๆที่เรื่องของความตายเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เกิดมาและพบเห็นกันอยู่ทุกวัน   เมื่อมีความเกิดแล้ว  ก็ต้องตายไปในที่สุดเหมือนกันหมด   ดังพุทธวจนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงย้ำตามความเป็นจริงว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา   ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น”   ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปสักเพียงใดก็เป็นการช่วยประคับประคองให้มนุษย์มีอายุยืนยาวต่อไปได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น   แต่ไม่สามารถทำให้มนุษย์คนใดมิต้องตายได้ [๒]    การคิดถึงเรื่องความตายมิใช่เรื่องของความผิด   แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง   เป็นเรื่องกระตุ้นเตือนให้เกิดปัญญาเกิดความก้าวหน้าในการประกอบกิจการงาน   เพราะเมื่อรู้ว่าอายุเราเป็นของน้อยอาจจะแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้      ก็ควรที่จะได้รีบเร่งประกอบคุณงามความดีต่อไปตามโอกาส [๓]

                 พระพุทธองค์ทรงสอนความจริงให้รู้ว่า ทุกสิ่งมีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย  สิ่งใดที่เกิดแล้วจักไม่ตายนั้นหาไม่ได้  สิ่งทั้งหลายมีความตายเป็นของธรรมดา  ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ชีวิตก็เช่นกันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  คืออนิจจตานั่นเอง  หมายถึง  ความไม่เที่ยง ไม่แท้  ไม่คงที่  ไม่ถาวร   มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา   ไม่หยุดนิ่งสักขณะเดียว   ถ้าหยุดเปลี่ยนแปลง   ชีวิตก็ตายเท่านั้นเอง   ที่สุดของความเปลี่ยนแปลงก็คือความตาย

                                              วิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง   ลดและชะลออัตราตายของประชากรจากอุบัติเหตุและโรคต่าง ๆ ลงได้         ส่งผลให้ประชากรทั่วโลกอายุเฉลี่ยสูงขึ้น  รวมถึงประชากรไทยซึ่งปัจจุบันอายุเฉลี่ยอยู่ที่ ๗๓ ปี   โดยเพศหญิงมีอายุขัยเฉลี่ย ๗๖ ปี และเพศชายอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ ๗๐ ปี    และคาดว่าอีก ๑๐ ปีข้างหน้าประชากรไทยจะมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น ๘๐ ปี   หลาย ๆโรคที่แต่เดิมยังไม่มีวิธีการรักษา   ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์คิดค้นวิธีการรักษาจนทำให้หายได้  เช่น  โรคเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน(Arteriosclerosis) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บเค้นที่หน้าอก(Angina Pectoris)   ภาวะที่หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตกะทันหันได้ในระยะเวลาอันสั้น(Sudden Death)    ปัจจุบันนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดเลือกหลอดเลือดแดงที่เหมาะสมซึ่งส่วนมาจะเลือกหลอดเลือดที่ขาเพราะเป็นเส้นเลือดที่ค่อนข้างตรงและยาวกว่าเส้นเลือดบริเวณอื่น    ตัดเพื่อนำมาต่อกับหลอดเลือดที่อุดตันเพื่อเปลี่ยนทางเดินของเลือดใหม่(CABG:Coronary Artery Bypass Graft)  หรือโดยการผ่าตัดใส่ขดลวดเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อถ่างขยายหลอดเลือด(Stent)  หรือถ่างขยายเส้นเลือดโดยใช้บอลลูน(PTCA: Percutaneous Tranluminal Coronary Angioplasty)  ทั้งนี้การเลือกใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับระดับการอุดตันและปัจจัยเสี่ยงต่อการผ่าตัดของผู้ป่วยแต่ละรายร่วมกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา   ตัวอย่างอีกโรคที่แต่เดิมยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดนอกจากใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบประคับประคอง(Symptomatic   Treatment) เท่านั้น   นั่นคือโรคไตวาย(ESRD ; End Stage Renal Disease) ปัจจุบันการผ่าตัดปลูกถ่ายไตใหม่จากผู้บริจาคไต(KT; Kidney Transplant) สามารถทำผู้ป่วยหายขาดจากโรคไตวายได้  แต่ต้องใช้งบประมาณที่สูงมากและผู้ป่วยยังคงต้องรอให้มีผู้บริจาคไตซึ่งต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยอีกมากขั้นตอนที่จะต้องระบุให้ได้ว่ารายละเอียดของเนื้อเยื่อผู้บริจาคและผู้รับบริจาคเข้ากันได้   หลังการผ่าตัดผู้ป่วยต้องอยู่ในขั้นตอนของการติดตามว่ามีอาการทางร่างกายที่แสดงถึงการปฏิเสธไตที่ปลูกถ่ายเข้าไปในร่างกายหรือไม่   ซึ่งในระหว่างการติดตามนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเจาะเลือดตรวจ ตรวจปัสสาวะ  เอ็กซ์เรย์  การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อมิให้ร่างกายปฏิเสธไตใหม่ที่ปลูกไว้ในร่างกาย   โดยการติดตามนี้จะต้องใช้เวลานานหลายเดือนถึงเป็นปีเพื่อให้ประเมินได้อย่างมั่นใจว่าการปลูกถ่ายไตสำเร็จอันจะทำให้สามารถสรุปได้ว่าไตใหม่ทำงานทดแทนไตเก่าได้สมบูรณ์หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ป่วยหายจากโรคไตวายแล้วนั่นเอง  

                                    อย่างไรก็ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ช่วยยืดวันสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ออกไปแต่วันสุดท้ายนั้นก็ยังคงต้องมาถึงอยู่ดีดังคำกล่าวของพระบรมศาสดาข้างต้น      ผู้เขียนเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม   อีกทั้งจากประสบการณ์ที่พบเห็นอยู่ประจำวันในโรงพยาบาลทั่วๆไป   จึงสน   ค้นคว้า  คิดตาม  และติดตาม   กระทั่งเมื่อ ๒๒ ตุลาคม  ๒๕๕๓    กฎกระทรวง เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ถูกนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา  เล่มที่ ๑๒๗ ตอนที่ ๖๕ ก  หน้า ๑๘ หน้า ๒๒  โดยมีสาระสำคัญที่สื่อให้ทราบว่า  วิธีการใดที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนำมาใช้เพื่อรักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้วไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยพ้นจากความตายหรือเป็นไปได้เพียงแค่ยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยเท่านั้นและภาวะนั้นยังคงนำไปสู่การตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้      หากเป็นดังนั้นแล้วผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธบริการสาธารณสุขนั้นโดยทำหนังสือแสดงเจตนาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรกฎหมายได้กำหนดแนวทางในการทำหนังสือแสดงเจตนาไว้และผู้ป่วยหรือผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาสามารถแสดงเจตนายกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้                  
                                                                กฏกระทรวงฉบับนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อเรื่องการเตรียมตัวตายของคนในสังคมไทยต่อสาธารณชนซึ่งขัดกับความคิดความเชื่อของสังคมไทยดังกล่าวข้างต้นที่มักมิให้พูดถึงหรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เข้าใจไปถึงความตายดังที่กล่าวข้างต้น        
                                                                จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจะได้ศึกษาต่อถึง การเตรียมตัวจากไปอย่างสงบของผู้ป่วยที่ได้แสดงเจตต์จำนงค์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่จะตายอย่างสงบหากโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ไม่สามารถรักษาให้หายเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่ออย่างปกติตามวิถีของปุถุชนทั่วไปได้          กับการดูแลแบบประคับประคอง(Palliative Care) ตามแนวทางการแพทย์สมัยใหม่นั้นดำเนินไปอย่างไร  อีกทั้งมีปฏิกิริยาอย่างไรจากสังคมแวดล้อมในสถานพยาบาล    ภายใต้ภาวะซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันมีทั้งความคิดที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมาณจากการเจ็บป่วยนี้      อีกประเด็นที่น่าสนใจและติดตามต่อคือ   การตอบรับของสังคมตามบริบทไทยต่อสาระสำคัญของกฎกระทรวง เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. ๒๕๕๓   ผู้เขียนตั้งใจจะติดตามต่อเพื่อรวบรวมความเป็นไปในบริบทสังคมไทยที่สัมพันธ์กับกฏกระทรวงและหลักธรรมดังกล่าว    แล้วเมื่อมีโอกาสจะได้เล่าสู่ผู้อ่าน ในโอกาสถัดไปค่ะ


หลวงพ่อฤษีลิงดำ, มรณานุสติกรรมฐาน. http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268  (๒ ส.ค. ๒๕๕๔)
[๒] พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม),  กรรมกับอดีตแห่งกาลมรณะ. http://119.46.184.39/ULIB/dublin.php?ID=19766  (๑๔ ก.ย. ๒๕๕๔)
[๓] พระปัญญานันภิกขุ, มรณานุสติ ๒๕๓๖