องค์กรพยาบาล โรงพยาบาลมหาชัย 2 เห็นความสำคัญของพัฒนาความสามารถ | |||||||
ทางการพยาบาล(Nursing Competency) จึงริเริ่ม "โครงการเสริมความรู้และทักษะ | |||||||
แก่พยาบาลพี่เลี้ยง" เพื่อเพิ่มความสามารถและศิลปของพยาบาลประจำการในการ | |||||||
เป็นพี่เลี้ยงแก่พยาบาลจบใหม่หรือพยาบาลที่เข้ามาปฏิบัติงานใหม่ ในโรงพยาบาล | |||||||
มหาชัย 2 ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีศักยภาพสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม | |||||||
ในงานได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพยาบาลพี่เลี้ยงจึงมีบทบาทสำคัญในการใช้ศิลปพัฒนา | |||||||
พยาบาลจบใหม่และพยาบาลใหม่ของโรงพยาบาลมหาชัย 2 ให้เป็นพยาบาลวิชาชีพ | |||||||
ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดโอกาสของการเกิด Incident | |||||||
อีกด้วยบทบาทพยาบาลพี่เลี้ยงดังกล่าว ได้แก่ บทบาทความเป็นครู ผู้แนะนำ/ผู้ให้คำปรึกษา | |||||||
ผู้เป็นแบบอย่าง ผู้อุปถัมภ์ นักปฏิบัติการพยาบาล ผู้นิเทศทางคลินิก พยาบาลพี่เลี้ยงจะ | |||||||
ประสบความสำเร็จอย่างดีหากได้รับการสนับสนุนจากองค์กรพยาบาล หัวหน้าหอผู้ป่วย |
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557
พี่เลี้ยง : Preceptor
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557
บทความเรื่อง มรณานุสติ
มรณานุสติ
(Consciousness of
Recalling the Death)...ตอนที่
๑
วิทยาการที่ก้าวหน้า อายุขัยเฉลี่ยที่สูงขึ้น ความสะดวกสบายความสุขทางโลก ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้คนห่างไกลธรรมชาติออกไปเรื่อย ๆ และยิ่งมิต้องกล่าวถึงมรณานุสติเลยเนื่องจากปกติคนเราก็ไม่คิดถึงเรื่องความตายอยู่แล้วถึงขั้นมีการห้ามปรามมิให้พูดหรือกระทำการใด
ๆ ที่มีลางหรือสื่อไปถึงความตายด้วยซ้ำ
จึงยิ่งทำให้คนห่างไกลมรณานุสติกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่เรื่องของความตายเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เกิดมาและพบเห็นกันอยู่ทุกวัน เมื่อมีความเกิดแล้ว ก็ต้องตายไปในที่สุดเหมือนกันหมด ดังพุทธวจนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงย้ำตามความเป็นจริงว่า
“ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา
ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น” ๑
ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปสักเพียงใดก็เป็นการช่วยประคับประคองให้มนุษย์มีอายุยืนยาวต่อไปได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้มนุษย์คนใดมิต้องตายได้ [๒]
การคิดถึงเรื่องความตายมิใช่เรื่องของความผิด แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง เป็นเรื่องกระตุ้นเตือนให้เกิดปัญญาเกิดความก้าวหน้าในการประกอบกิจการงาน
เพราะเมื่อรู้ว่าอายุเราเป็นของน้อยอาจจะแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้ ก็ควรที่จะได้รีบเร่งประกอบคุณงามความดีต่อไปตามโอกาส [๓]
พระพุทธองค์ทรงสอนความจริงให้รู้ว่า
ทุกสิ่งมีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย
สิ่งใดที่เกิดแล้วจักไม่ตายนั้นหาไม่ได้
สิ่งทั้งหลายมีความตายเป็นของธรรมดา
ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ชีวิตก็เช่นกันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
คืออนิจจตานั่นเอง หมายถึง ความไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่คงที่
ไม่ถาวร
มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่งสักขณะเดียว ถ้าหยุดเปลี่ยนแปลง ชีวิตก็ตายเท่านั้นเอง ที่สุดของความเปลี่ยนแปลงก็คือความตาย
วิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ลดและชะลออัตราตายของประชากรจากอุบัติเหตุและโรคต่าง
ๆ ลงได้ ส่งผลให้ประชากรทั่วโลกอายุเฉลี่ยสูงขึ้น รวมถึงประชากรไทยซึ่งปัจจุบันอายุเฉลี่ยอยู่ที่
๗๓ ปี โดยเพศหญิงมีอายุขัยเฉลี่ย ๗๖ ปี
และเพศชายอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ ๗๐ ปี และคาดว่าอีก
๑๐ ปีข้างหน้าประชากรไทยจะมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น ๘๐ ปี หลาย ๆโรคที่แต่เดิมยังไม่มีวิธีการรักษา
ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์คิดค้นวิธีการรักษาจนทำให้หายได้ เช่น
โรคเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน(Arteriosclerosis) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บเค้นที่หน้าอก(Angina Pectoris)
ภาวะที่หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตกะทันหันได้ในระยะเวลาอันสั้น(Sudden Death) ปัจจุบันนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดเลือกหลอดเลือดแดงที่เหมาะสมซึ่งส่วนมาจะเลือกหลอดเลือดที่ขาเพราะเป็นเส้นเลือดที่ค่อนข้างตรงและยาวกว่าเส้นเลือดบริเวณอื่น ตัดเพื่อนำมาต่อกับหลอดเลือดที่อุดตันเพื่อเปลี่ยนทางเดินของเลือดใหม่(CABG:Coronary Artery
Bypass Graft)
หรือโดยการผ่าตัดใส่ขดลวดเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อถ่างขยายหลอดเลือด(Stent)
หรือถ่างขยายเส้นเลือดโดยใช้บอลลูน(PTCA: Percutaneous Tranluminal Coronary
Angioplasty) ทั้งนี้การเลือกใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับระดับการอุดตันและปัจจัยเสี่ยงต่อการผ่าตัดของผู้ป่วยแต่ละรายร่วมกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา
ตัวอย่างอีกโรคที่แต่เดิมยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดนอกจากใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบประคับประคอง(Symptomatic Treatment) เท่านั้น
นั่นคือโรคไตวาย(ESRD ; End Stage Renal Disease) ปัจจุบันการผ่าตัดปลูกถ่ายไตใหม่จากผู้บริจาคไต(KT; Kidney
Transplant)
สามารถทำผู้ป่วยหายขาดจากโรคไตวายได้
แต่ต้องใช้งบประมาณที่สูงมากและผู้ป่วยยังคงต้องรอให้มีผู้บริจาคไตซึ่งต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยอีกมากขั้นตอนที่จะต้องระบุให้ได้ว่ารายละเอียดของเนื้อเยื่อผู้บริจาคและผู้รับบริจาคเข้ากันได้
หลังการผ่าตัดผู้ป่วยต้องอยู่ในขั้นตอนของการติดตามว่ามีอาการทางร่างกายที่แสดงถึงการปฏิเสธไตที่ปลูกถ่ายเข้าไปในร่างกายหรือไม่
ซึ่งในระหว่างการติดตามนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
การเจาะเลือดตรวจ ตรวจปัสสาวะ
เอ็กซ์เรย์
การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
เพื่อมิให้ร่างกายปฏิเสธไตใหม่ที่ปลูกไว้ในร่างกาย โดยการติดตามนี้จะต้องใช้เวลานานหลายเดือนถึงเป็นปีเพื่อให้ประเมินได้อย่างมั่นใจว่าการปลูกถ่ายไตสำเร็จอันจะทำให้สามารถสรุปได้ว่าไตใหม่ทำงานทดแทนไตเก่าได้สมบูรณ์หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ป่วยหายจากโรคไตวายแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ช่วยยืดวันสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ออกไปแต่วันสุดท้ายนั้นก็ยังคงต้องมาถึงอยู่ดีดังคำกล่าวของพระบรมศาสดาข้างต้น
ผู้เขียนเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม
อีกทั้งจากประสบการณ์ที่พบเห็นอยู่ประจำวันในโรงพยาบาลทั่วๆไป จึงสนใจ
ค้นคว้า คิดตาม และติดตาม
กระทั่งเมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ กฎกระทรวง เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ถูกนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่มที่ ๑๒๗ ตอนที่ ๖๕ ก หน้า ๑๘ – หน้า ๒๒ โดยมีสาระสำคัญที่สื่อให้ทราบว่า
วิธีการใดที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนำมาใช้เพื่อรักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้วไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยพ้นจากความตายหรือเป็นไปได้เพียงแค่ยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยเท่านั้นและภาวะนั้นยังคงนำไปสู่การตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้
หากเป็นดังนั้นแล้วผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธบริการสาธารณสุขนั้นโดยทำหนังสือแสดงเจตนาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรกฎหมายได้กำหนดแนวทางในการทำหนังสือแสดงเจตนาไว้และผู้ป่วยหรือผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาสามารถแสดงเจตนายกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้
กฏกระทรวงฉบับนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อเรื่องการเตรียมตัวตายของคนในสังคมไทยต่อสาธารณชนซึ่งขัดกับความคิดความเชื่อของสังคมไทยดังกล่าวข้างต้นที่มักมิให้พูดถึงหรือทำกิจกรรมใด
ๆ ที่ทำให้เข้าใจไปถึงความตายดังที่กล่าวข้างต้น
จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจะได้ศึกษาต่อถึง
การเตรียมตัวจากไปอย่างสงบของผู้ป่วยที่ได้แสดงเจตต์จำนงค์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่จะตายอย่างสงบหากโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ไม่สามารถรักษาให้หายเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่ออย่างปกติตามวิถีของปุถุชนทั่วไปได้ กับการดูแลแบบประคับประคอง(Palliative Care) ตามแนวทางการแพทย์สมัยใหม่นั้นดำเนินไปอย่างไร
อีกทั้งมีปฏิกิริยาอย่างไรจากสังคมแวดล้อมในสถานพยาบาล
ภายใต้ภาวะซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันมีทั้งความคิดที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมาณจากการเจ็บป่วยนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจและติดตามต่อคือ
การตอบรับของสังคมตามบริบทไทยต่อสาระสำคัญของกฎกระทรวง เรื่อง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย
พ.ศ. ๒๕๕๓
ผู้เขียนตั้งใจจะติดตามต่อเพื่อรวบรวมความเป็นไปในบริบทสังคมไทยที่สัมพันธ์กับกฏกระทรวงและหลักธรรมดังกล่าว แล้วเมื่อมีโอกาสจะได้เล่าสู่ผู้อ่าน
ในโอกาสถัดไปค่ะ
๑
หลวงพ่อฤษีลิงดำ, มรณานุสติกรรมฐาน. http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268 (๒ ส.ค. ๒๕๕๔)
[๒] พระราชสุทธิญาณมงคล
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม), กรรมกับอดีตแห่งกาลมรณะ. http://119.46.184.39/ULIB/dublin.php?ID=19766 (๑๔
ก.ย. ๒๕๕๔)
[๓] พระปัญญานันภิกขุ, มรณานุสติ
๒๕๓๖
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)